มาดูข้อแตกต่างระหว่าง Shared Hosting VS Private Hosting

การจะมีเว็บไซต์ขึ้นมาได้ต้องมีการนำไฟล์เว็บไซต์ไปฝากไว้กับผู้ให้บริการเซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือที่เรียกว่า บริการเว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) หลายคนคงพอจะคุ้นหูกันดีกับคำนี้ ทีนี้เจ้าตัวเว็บโฮสติ้งเองก็สามารถแบ่งออกได้หลายแบบ โดยในบทความนี้เราจะมาพูดถึงการจำแนกประเภทออกเป็น 2 อย่างง่ายๆ ก็คือ Shared Hosting กับ Private Hosting ค่ะ มาดูกันเลยว่าแต่ละแบบเป็นยังไง และต่างกันยังไง

Shared Hosting คืออะไร

ถ้าหากจะอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ Shared Hosting ก็จะคล้ายๆ เป็นการนำเซิร์ฟเวอร์มาหั่นแบ่งให้ลูกค้า (ตัวเรา) ที่มีเว็บไซต์และต้องการจะฝากไฟล์เว็บไซต์บนเซิร์ฟเวอร์ โดยจะเป็นการใช้เซิร์ฟเวอร์ร่วมกัน (จึงได้ชื่อว่า Shared) เรียกได้ว่าเป็นการแบ่งทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์กันใช้นั่นเอง ซึ่งต้องยอมรับความเสี่ยงถ้าหากว่าเซิร์ฟเวอร์จะมีการอืดเพราะแย่งทรัพยากรกันใช้บ้างในบางครั้ง (นึกภาพจะคล้ายๆ เวลามีคนใช้งานสัญญาณ Wifi เยอะๆ แล้วอินเทอร์เน็ตอืด)

Shared Hosting เหมาะกับใคร

ข้อดีที่สำคัญที่สุดของ Shared Hosting คือ ราคาถูก จึงเหมาะกับคนที่มีงบไม่สูงมาก และเหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไปที่ไม่ได้มีการใช้งานซับซ้อนใดๆ ไม่ได้ต้องการจะปรับแต่งอะไรมากมาย และต้องไม่ใช่เว็บไซต์ที่ต้องมีระบบหลังบ้านแบบพวกเว็บ eCommerce ไว้ซื้อของขายของบนเว็บ ซึ่งเว็บแนวนั้นจะใช้พื้นที่มาก ข้อมูลเยอะ ทำให้ไม่เหมาะสมกับ Shared Hosting

ตัวอย่างของเว็บที่เหมาะกับการใช้ Shared Hosting

  • เว็บไซต์ที่เจ้าของเว็บไซต์ ไม่ได้ ต้องการปรับแต่งเซิร์ฟเวอร์ (Custom plan) เอง 
  • เว็บไซต์ธรรมดาเอาไว้แสดงโปรไฟล์ส่วนตัวของบุคคล หรือธุรกิจ
  • เว็ตไซต์โพสเนื้อหาทั่วไปที่ ไม่ ต้องมีระบบสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์
  • เว็บไซต์ที่ ไม่มี ระบบการตัดบัตรหรือชำระเงินผ่านเว็บไซต์
  • เว็บไซต์ที่ไม่ได้มีคนเข้าเว็บเยอะ หรือมีข้อมูลเยอะ ซึ่งจะทำให้ต้องการทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์สูง

Private Hosting คืออะไร

เรียกได้ว่าเป็นโฮสติ้งที่มีลักษณะตรงตัวตามชื่อเลย ก็คือ มีความเป็นส่วนตัว ตรงข้ามกับ Shared ทุกอย่าง ก็คือเราไม่ต้องแชร์ทรัพยากรร่วมกับคนอื่น ทุกอย่างมีความเป็นส่วนตัว ทำให้เซิร์ฟเวอร์มีความเสถียร สามารถปรับแต่งสร้าง Custom plan ให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจหรือเว็บของเราได้ นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยสูงกว่าด้วย

Private Hosting เหมาะกับใคร

เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ซึ่งผู้เช่าพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ต้องมีการจ่ายค่าบริการที่สูงกว่าเพื่อความเป็นส่วนตัวดังกล่าว และแน่นอนว่าอาจจะต้องเป็นผู้ใช้งานหรือธุรกิจที่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโฮสติ้งบ้างเล็กน้อย

ตัวอย่างของเว็บที่เหมาะกับการใช้ Private Hosting

  • เว็บไซต์ที่เจ้าของ ไม่ ต้องการแชร์การใช้งานเซิร์ฟเวอร์ร่วมกันกับผู้เช่ารายอื่น
  • เว็บไซต์ที่เจ้าของต้องการปรับตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ให้รองรับและเข้ากับความต้องการของเว็บไซต์
  • เว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็น eCommerce มีการซื้อขายสินค้า และมีระบบจ่ายเงินบนเว็บไซต์
  • เว็บไซต์ที่ต้องการความเสถียรเป็นสำคัญ ไม่ต้องการให้เว็บอืด
  • เว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานเยอะ ต้องรองรับผู้เข้าใช้งานในจำนวนมากในแต่ละวัน
  • เว็บไซต์ที่ต้องการเลือกระบบปฏิบัติการตามความต้องการของตัวเอง

สรุป Shared Hosting หรือ Private Hosting ดี?

ก่อนเช่าเว็บโฮสติ้งควรศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของเว็บโฮสติ้ง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือควรเข้าใจเว็บไซต์ของตัวเองก่อน ว่าเป็นเว็บไซต์แบบไหน เราวางแผนจะทำอะไรกับมันบ้าง ไม่ใช่แค่ตอนนี้แต่หมายรวมถึงแผนการในอนาคตด้วย ถ้าหากว่ามีแผนที่จะทำอะไรมากกว่าการสร้างเว็บเพจปกติ เช่น จะทำร้านขายของ ก็สามารถเริ่มต้นที่ Private Hosting ก่อนเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาย้ายโฮสในอนาคต

สำหรับหลายคนที่กำลังเริ่มทำเว็บไซต์ สนใจแพ็กเกจเช่าโฮสติ้งแบบมีความเป็นส่วนตัว อย่าลืมแวะไปดูแพ็กเกจเว็บโฮสติ้งจาก VPS Hispeed กันนะ แพ็คเกจของเรามีหลากหลาย รองรับลูกค้าหลายประเภท แม้จะเป็นมือใหม่ก็ใช้งานได้ไม่ยาก สนใจติดต่อที่อีเมล [email protected] หรือทางเบอร์โทรศัพท์ 093 173 0181, 096 238 7242, 082 018 9138

บริการ Premium VPS และ Cloud Hosting เร็วกว่าด้วยเซิร์ฟเวอร์ในไทย

รับส่วนลด 50%

รับส่วนลด 50% ท้าให้ลอง VPS ที่ได้รับรีวิวบริการดีเยี่ยมสูงสุดใน Google Review