เพราะข้อมูลทุกอย่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์ การศึกษาเทรนด์หรือฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมจึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักพัฒนาเว็บไซต์ วันนี้เราพาคุณมาดู 10 เทรนด์เว็บไซต์ที่ยังมาแรง ไม่หล่นจากความนิยมในปี 2024
1. ความนิยมสกุลไฟล์ภาพ WebP ที่มากขึ้น
ฟอร์แมตภาพที่ช่วยลดน้ำหนักของไฟล์ภาพลงได้มาก 20 – 35% โดยคงคุณภาพของภาพเท่าเดิม WebP เริ่มพัฒนาโดย Google ในปี 2010 ที่เป็นเหมือนการควบรวมเอาคุณสมบัติของไฟล์ JPEG, PNG และ GIF มารวมกัน โดยพัฒนาการบีบอัดภาพให้มีน้ำหนักเบากว่า JPEG รองรับ Transparency แบบ PNG และสามารถเคลื่อนไหวแบบ GIF ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เว็บไซต์มีน้ำหนักที่เบาลง โหลดได้เร็ว โดยเว็บไซต์ที่นำฟอร์แมตภาพ WebP มาใช้เช่น Facebook และ eBay
WebP เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมาหลังจากที่ Microsoft Edge และ Mozilla Firefox ประกาศรองรับฟอร์แมตภาพชนิดนี้ (เดิมมีเพียง Google Chrome และ Opera) ในขณะที่ Safari ในอุปกรณ์ต่างๆ จากค่าย Apple นั้นยังไม่รองรับ
สำหรับการออกแบบเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ใช้บริการของ WordPress หรืออื่นๆ สามารถใช้ไฟล์ WebP ได้โดยการติดตั้ง Plug-In ที่จะช่วยในการแปลงไฟล์ JPG, PNG หรือ GIF เป็น WebP หรือใช้ไฟล์รูปแบบเดิมเมื่อต้องแสดงผลกับเบราเซอร์ที่ยังไม่รองรับ WebP อย่าง Safari
2. Typography และการใช้ฟอนต์ Serif เพื่อสร้างความแตกต่าง
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ยุค Flat Design การออกแบบเว็บไซต์โดยส่วนใหญ่นิยมใช้ฟอนต์แบบ Sans Serif (ฟอนต์ไม่มีเชิง) ที่เรียบง่าย มีลักษณะสมมาตร ทำให้หน้าตาของเว็บส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน (แม้ยังคงความต่างกันด้วย Mood & Tone ของการใช้สี รูปภาพ และลักษณะของตัวฟอนต์เอง) การออกแบบเว็บที่ใช้ Typography เช่น การนำฟอนต์แบบ Serif มาใช้เป็นหัวข้อเรื่อง ใช้กับคำสั้นๆ ที่เน้นเป็นขนาดใหญ่ภายในเว็บ จะช่วยเพิ่มความสดใหม่ให้กับเว็บไซต์ ซึ่งเป็นอีกเทรนด์การออกแบบเว็บที่เริ่มทำกันมากขึ้น
3. PHP 7
เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากผู้พัฒนา PHP ประกาศหยุดซัพพอร์ท PHP 5.6 และทางผู้ให้บริการพัฒนาเว็บไซต์อย่าง WordPress เองก็มีประกาศให้เว็บต่างๆ ต้องอัพเกรดเป็น PHP 7 ด้วยเช่นกัน
จุดเด่นของ PHP 7 คือการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ที่น้อยลง ทำให้เซิร์ฟเวอร์ และเว็บไซต์ตอบสนองฝั่งผู้ใช้ หรือ End-User ได้เร็ว และมีประสิทธิภาพ (เวอร์ชั่นล่าสุด ณ กุมภาพันธ์ 2562 คือ PHP 7.3)
4. Single Page Website ครบจบในหน้าเดียว
ในยุคที่พฤติกรรมของผู้ใช้สมาร์ทโฟนชินกับการ “ปัด” จากการใช้แอปโซเชียลมีเดียต่างๆ การออกแบบเว็บไซต์แบบ Single Page โดยคัดเฉพาะเนื้อหาที่คุณอยากให้ผู้ใช้เว็บรู้รวมไว้ในหน้าแรกหน้าเดียว จึงตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้สมาร์ทโฟนยุคนี้ และยังเหมาะกับเหล่าองค์กร SME ที่มีข้อมูลผลิตภัณฑ์ หรือบริการไม่มาก
ทว่าการออกแบบ Single Page Website ที่ดูเหมือนน้อย แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหัวใจสำคัญของทำ Single Page Website ที่ดีคือการจัดองค์ประกอบภาพ และเนื้อหา ให้มีความน่าสนใจ รวมถึงการเขียน และออกแบบเว็บให้โหลดแสดงผลได้เร็วที่สุด หน้าเว็บที่มีน้ำหนักเบาสมกับเป็นเว็บไซต์หน้าเดียว
5. Progressive Web Apps (PWA) และ Web Notification
มาตรฐานใหม่จาก Google ในการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีหน้าตา และลักษณะการใช้งานเสมือนแอปพลิเคชัน ตามเทรนด์ที่ว่าคนส่วนใหญ่เริ่มติดตั้งแอปน้อยลง และอยู่กับเบราเซอร์มากขึ้น
จุดเด่นของ Progressive Web Apps ที่เหนือกว่า Mobile Site ปกติคือ คือการเก็บข้อมูลเว็บ (Cache) ให้สามารถเปิดใช้ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต มีการแจ้งเตือน (Notification) และการแสดงผลแบบเต็มจอเสมือนติดตั้งแอป
ด้วยความที่ต้องออกแบบเว็บบนพื้นฐานของการเป็นแอปนี้ก็ทำให้การจัดวาง Content และ Layout ต่างๆ ภายในเว็บดูง่ายต่อผู้ใช้มากกว่าการเข้า Mobile Web ทั่วไป และจากผลการเปลี่ยน Mobile Web เป็น Progressive Web Apps ของบริษัทยักใหญ่อย่าง Alibaba ก็ช่วยเพิ่มยอดขายจากการเข้าเว็บบนสมาร์ทโฟนสูงขึ้นถึง 76% เลยทีเดียว
6. เลือกออกแบบเว็บไซต์สไตล์ Minimalism น้อยแต่มาก เรียบแต่ดูน่าสนใจ
ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน สไตล์มินิมอล ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และถูกหยิบจับมาใช้ในงานออกแบบหลายประเภท ทั้งการตกแต่งบ้าน ตกแต่งร้านอาหาร การแต่งกาย รวมไปถึงการออกแบบเว็บไซต์ด้วย ซึ่งเป็นการออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย น้อยแต่ครอบคลุมทุกความจำเป็น ให้ความรู้สึกสบายตา สามารถเลื่อนดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ บางครั้งการใส่ข้อมูลที่อัดแน่นจนเกินไปก็อาจทำให้เว็บไซต์ดูน่าเบื่อ ทริกง่ายๆ คือการเลือกภาพสวยๆ คู่กับแคปชั่นสั้นๆ แต่ได้ใจความ เท่านี้ก็จบ
การแต่งเว็บไซต์สไตล์ Minimalism สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ดูมีสไตล์ เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความน่าสนใจ
7. เพิ่มลูกเล่นที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่องด้วย Parallax Scrolling
เพิ่มลูกเล่นที่น่าสนใจให้เว็บไซต์ง่ายๆ ด้วยการเลื่อนแบบพารัลแล็กซ์ หลักการทำงานของ Parallax Scrolling เมื่อมีการเคลื่อนไหวเมาส์ขึ้นลง เนื้อหาของเว็บไซต์ก็จะเปลี่ยนไปตามการเคลื่อนไหวนั้นด้วย ซึ่งจะใช้วิธีคลิก หรือลากก็สามารถออกแบบได้ตามความต้องการ โดยจะใช้เทคนิคของ Scroll Mouse เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่จะสอดคล้องไปกับการ Scroll
Parallax Scrolling จะช่วยให้เว็บไซต์สามารถเล่าเรื่องราวตามความสนใจได้อย่างต่อเนื่อง จะสื่อสารเกี่ยวกับอะไรก็สามารถออกแบบ ใส่เนื้อหาได้ตามความต้องการ เปิดประสบการณ์การเข้าชมเว็บไซต์ที่แตกต่าง ไม่เหมือนใคร
8. Bold Typography ตัวช่วยแต่งเติม เพิ่มความโดดเด่น
บางครั้งขีดจำกัด หรือกรอบแบบเดิมๆ ก็ดูจะไม่ใช่คำตอบของยุคปัจจุบัน การออกแบบสามารถทำได้อย่างอิสระมากขึ้น การออกแบบเว็บไซต์โดยใช้ฟอนท์ตัวพิมพ์หนา เป็นการเพิ่มความโดดเด่น สะดุดตาให้กับเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอเป็นพิเศษ ทำให้เนื้อหาส่วนนั้นมีความน่าสนใจมากกว่าส่วนอื่นๆ และ Bold Typography คาดว่าจะเป็นหนึ่งในเทรนด์ยอดนิยมของวงการออกแบบเว็บไซต์ด้วย
ถึงแม้ความเรียบง่ายจะได้รับความนิยม แต่ Bold Typography จะช่วยเน้นความสำคัญของแต่ละองค์ประกอบมากขึ้น ตัวหนาสะดุดตา เพิ่มความโดดเด่น กระตุ้นการตัดสินใจ
9. ตอบโจทย์ความต้องการอย่างตรงจุดด้วย Personalization
Personalization เป็นการออกแบบเว็บไซต์เฉพาะบุคคล เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการอย่างตรงจุด ทำงานโดยการให้เลือกหัวข้อที่ตรงกับความต้องการ เพื่อให้ระบบประมวลผลสิ่งที่เหมาะสมออกมา เช่น เว็บไซต์ซื้อ-ขายโทรศัพท์ ที่ให้ระบุขอบเขตความต้องการ จากนั้นระบบจะแสดงรายการโทรศัพท์ที่ต้องการออกมา ต้องบอกเลยว่าเว็บไซต์ที่ใช้การออกแบบแบบ Personalization กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะช่วยสร้าง User Experience ให้กับผู้ที่ใช้งานเว็บไซต์ เพิ่มความมีส่วนร่วมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
Personalization เหมาะกับการออกแบบเว็บไซต์ที่มีตัวเลือกจำนวนมาก ต้องการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานอย่างเต็มที่ และตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
10. Motion Design สร้างความตื่นตาตื่นใจ แบบใกล้ชิด
กับเว็บไซต์บางประเภท แค่รูปภาพอย่างเดียวอาจจะไม่พอ สร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้เข้าถุงได้อย่างใกล้ชิดด้วย Motion Design การใช้งานภาพ และองค์ประกอบเคลื่อนไหวเพื่อสร้างประสบการณ์ในการเข้าชม ซึ่งสามารถออกแบบได้อย่างหลากหลายขึ้นอยู่กับความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การใช้แบบอักษร (typography), การใช้เสียง (sound), การจัดเรียงภาพนิ่ง (layout) และอื่นๆ อีกมากมาย ความเคลื่อนไหวจะช่วยให้เนื้อหาดูน่าสนใจ และสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
Motion Design สามารถนำไปปรับใช้ได้กับเว็บไซต์ทุกประเภท โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว หรือเว็บไซต์ที่ต้องการให้เข้าถึงเนื้อหาได้มากที่สุด
บทความที่เกี่ยวข้อง:
10 อันดับเวิร์ดเพรสปลั๊กอินฟรียอดนิยมที่คุณต้องรู้จัก
รวม ธีม/ปลั๊กอิน สำหรับ WordPress จากคนไทย (Thai Themes & Plugins)
5 ปลั๊กอินสำหรับจัดการแคตตาล็อกสินค้าบน WordPress (อัปเดต 2022)